Categories
อาหารคาว

ส้มตำทอด

ส้มตำทอดกรอบนาน กรอบทน ไม่จับเป็นก้อน

ส้มตำทอด

ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าอาหารอีสานที่ขึ้นชื่ออย่างส้มตำ เป็นเมนูยอดนิยมตลอดกาลของบ้านเรา ไม่ว่าคนไทย หรือต่างชาติหากได้ลิ้มลองแล้วต้องบอกว่าแซ่บมาก อย่างไรก็ตามกาลเวลาเปลี่ยนไปทำให้เกิดการพัฒนาสูตรส้มตำธรรมดากลายเป็น ส้มตำทอด ที่ชูการใช้มะละกอวัตถุดิบหลักของเมนูนี้เป็นจุดเด่น โดย ทอดมะละกอให้กรอบ ในน้ำมันร้อน ๆ และตามด้วยการราดน้ำส้มตำลงไป ฟังดูแล้วเหมือนว่าจะมีขั้นตอนการทำที่ยุ่งยาก ทว่าหากรู้เทคนิคการทำว่า ส้มตำทอดใช้แป้งอะไร ถึงจะกรอบอร่อยล่ะก็ เมนูนี้จะง่ายขึ้นมาทันที

วัตถุดิบ ส้มตำทอด

  1. มะละกอขูดเส้น 300 กรัม
  2. น้ำมันพืชสำหรับทอด
  3. แป้งทอดกรอบ 150 กรัม
  4. น้ำเย็นจัด 200 มิลลิตร

วัตถุดิบน้ำส้มตำ

  1. ถั่วฝักยาว 2 เส้น
  2. ถั่วลิสง 20 กรัม
  3. กุ้งแห้ง 30 กรัม
  4. พริก 3 เม็ด (เพิ่มลดความเผ็ดได้ตามใจชอบ)
  5. กระเทียม 2 กลีบ
  6. มะเขือเทศหั่น 4-5 ลูก
  7. น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
  8. มะนาว 3 ช้อนโต๊ะ
  9. น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำส้มตำทอด

  1. นำมะละกอมาสับ หรือขูดให้เป็นเส้น ๆ สำหรับ วิธีทอดมะละกอให้กรอบ นาน จะต้องค่อย ๆ เทน้ำเย็นจัดลงในแป้งทอดกรอบ ดูให้เนื้อแป้งข้น เหนียว ไม่เหลวเป็นน้ำ จึงนำมะละกอสับที่ได้ใส่ลงไป พร้อมทั้งคลุกเคล้าให้แป้งเกาะเส้นมะละกอ
  2. ลงมือทอดมะละกอที่ชุบแป้งไว้แล้ว โดยเคล็ดลับของ ส้มตำกรอบ เวลาทอดต้องใช้ไฟปานกลาง น้ำมันต้องท่วม และตักมะละกอลงไปทอดทีละนิด เมื่อนำลงไปทอดให้ใช้ช้อนส้อมค่อย ๆ เกลี่ยเส้นมะละกอออกไม่ให้จับกันเป็นก้อน ทอดจนทั้งสองด้านมีสีเหลืองกรอบน่ารับประทานเป็นอันเสร็จขั้นตอน
  3. เริ่มทำน้ำราดแบบตำไทย ใส่พริก กระเทียมลงไปตำพอหยาบ ตามด้วยถั่วฝักยาวตำให้แตกดี ต่อด้วยมะเขือเทศ และถั่วลิสง พร้อมปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ มะนาว น้ำปลา ตำหยาบ ๆ อีกครั้ง แล้วให้ตักใส่ถ้วยไว้ก่อน หากใครไม่ชอบตำไทย อยากทำ ส้มตำทอดปลาร้า ให้ใส่น้ำปลาร้าเพิ่มเข้าไป และทำการลดความหวานลง
  4. นำมะละกอที่ทอดได้แล้วจัดใส่จาน และราดหน้าด้วยน้ำส้มตำที่เตรียมไว้ พร้อมเสิร์ฟได้

เห็นวิธีการทำ ส้มตำทอด และได้รู้เทคนิคการทำไปแล้ว ว่าทำอย่างไรให้กรอบนาน และไม่จับกันเป็นก้อน นอกจากเป็นอาหารที่รสชาติอร่อยถูกปากแล้ว ประโยชน์ของส้มตำทอด ที่น่ารู้คือ มะละกอมีวิตามินซีสูง มะเขือเทศมีสารต้านอนุมูลอิสระ พริกแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ซึ่งถือว่าเป็นอาหารที่อร่อย และมีสารอาหารครบครันเลยทีเดียว

Categories
อาหารคาว

เมนูพื้นบ้าน นึ่งไก่ แบบอีสาน อาหารไทยง่าย ๆ

นึ่งไก่

พูดถึงเมนูไก่นั้นมีมากมาย จะกินเป็นกับข้าวก็ดี หรือกินเป็นของกินเล่น จะเป็นกับแก้มก็ดี เพราะเมนูไก่ทำง่าย ราคาถูก หาซื้อง่าย วันนี้เราจึงมาแนะนำ เมนูไก่นึ่งพื้นบ้านจากภาคอีสาน หรือ นึ่งไก่ แบบอีสาน เป็นอาหารไทยที่ง่าย ไม่ว่าใครก็สามารถทำกินเองได้ที่บ้าน หรือจะทำกินเป็นกับแก้มสังสรรค์ในหมู่เพื่อนฝูงก็เป็นเมนูที่เข้ากันสุดๆ

ถ้าพูดถึงการ นึ่งไก่ แบบอีสาน เราจะนึ่งไก่อย่างไรไม่ให้ไก่เหนียว เทคนิคการนึ่งไก่ไม่ให้เหนียว คือการ

  • เลือกซื้อไก่สดที่มีคุณภาพ เนื่องจากไก่ที่สดใหม่จะรสชาติดีที่สุด เทคนิคการเลือกไก่ที่สดใหม่ให้สังเกตจากเนื้อไก่ต้องแน่น ไม่ส่งกลิ่น ผิวของไก่ไม่เหี่ยวย่น ไม่มีจ้ำเขียว ๆ
  • เนื้อไก่ที่เหมาะแก่การนำมานึ่งคือส่วน น่อง สะโพก และ ปีก ส่วนเนื้ออก และ สะโพก ไม่แนะนำเพราะว่าเป็นส่วนที่ค่อนข้างแห้งและหยาบ
  • เนื้อไก่ด้านนอกนั้นจะสุกง่าย ด้านในจะสุกยาก เทคนิคคือการใช้ซ่อมเจาะเข้าไปที่เนื้อไก่ ให้เข้าร้อนเข้าไปข้างในอย่างทั่วถึง
  • การหมักเนื้อไก่ ควรหมักทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง เพื่อให้วัตถุดิบซึมเข้าไปในเนื้อไก่ และทำให้เนื้อไก่นุ่มหอมอร่อย การนึ่งไก่ควรใช้ไฟแรงเพื่อรีดเอาไอน้ำจากความร้อนมาทำให้ไก่สุกและชุ่มช่ำเรียกรสชาติจากสมุนไพรที่หมักไว้ให้ส่งกลิ่นหอมออกมาอย่างเต็มที่
  • การนึ่งไก่ให้นำพลาสติกมาห่อจานไก่ไว้ก่อน เพื่อกันไอน้ำลงไปในเครื่องหมัก เพราะไอน้ำจะทำให้รสชาติไก่นั้นจืดลง ให้เจาะรูพลาสติกให้ความร้อนเข้าไปในไก่และเครื่องหมักได้ เทคนิคนี้ยังสามารถนำไปใช้กับการนึ่งไก่แบบธรรมดาได้อีกด้วย
นึ่งไก่ แบบอีสาน

นึ่งไก่ อีสาน เป็นเมนูภาคอีสาน ที่มีวิธีทำที่ง่ายและมีส่วนผสมที่ไม่ยุ่งยาก ส่วนผสมในการทำก็ได้แก่ เนื้อน่อง ปีก หรือ สะโพก หอมแดง กระเทียม รากผักชี ข่าหั่นแว่น ตะไคร้ เกลือ น้ำตาล ใบมะกรูด พริกขี้หนูสวน วิธีการนึ่งไก่ก็มีแตกต่างกันไป ถ้าแบบภาคอีสานดั้งเดิมก็จะนึ่งไก่ใส่หวด ในบางพื้นที่จะมีการนำไก่ไปเผาไฟก่อนจึงค่อยนำไปหมัก แล้วเอาไปนึ่งในหวดต่อ

 นึ่งไก่ แบบอีสาน

เมนูไก่นึ่ง มักจะมาพร้อมน้ำจิ้มสูตรเด็ดที่กินควบคู่กัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำจิ้มซีฟู้ดก็ดี หรือน้ำจิ้มไก่ก็ดีไปอีกแบบ แต่สูตรที่ทางภาคอีสานมักจะชอบกินกันก็คือ ไก่นึ่งจิ้มแจ่ว หรือ แจ่วนึ่งไก่ ที่นำเอาแจ่วมาหมักพร้อมกับไก่ไปในตัว (แจ่วในที่นี้ไม่ใช่น้ำจิ้มแจ่วสีดำๆนะ) นอกจากการนึ่งไก่ใส่หวดที่เขียนไปแล้วนั้น ก็ยังมีการนึ่งไก่ในหม้อก็ได้ หรือจะเป็นการนึ่งไก่ในหม้อหุงข้าว ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่ไม่มีหวด แถมยังง่ายและสะดวกกว่าอีกด้วย

Categories
อาหารคาว

แกงฮังเล อาหารจานเด็ดจากพม่าสู่ภาคเหนือของไทย

แกงฮังเล

แกงฮังเล หรือ แกงฮิเล เป็นอาหารประเภทแกงที่มีมาอย่างยาวนาน มีต้นกำเนิดจากประเทศพม่า โดยคำว่า ฮึน แปลว่า แกง และ เล่ แปลว่าเนื้อสัตว์ แกงฮังเล ได้รับความนิยมและแพร่ขยายเข้ามาสู่ภาคเหนือของประเทศไทย ทำให้แกงฮังเลเป็นอาหารขึ้นชื่อของภาคเหนือในที่สุด แต่ความอร่อยของเมนูนี้ก็ส่งต่อไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ทำให้แกงฮังเล เป็นที่นิยมในแทบทุกที่ของประเทศไทย

แกงฮังเล มีวิธีปรุงอยู่ 3 แบบคือแบบพม่า หรือ แกงฮังเลสูตรดั้งเดิม แบบเชียงแสน และ แบบไทใหญ่ โดยแกงฮังเลสูตรดั้งเดิม หรือ แบบพม่าจะได้รับความที่นิยมมากที่สุด รสชาติจะออกเปรี้ยว เค็ม หวานนิดหน่อย น้ำขลุกขลิก มีส่วนผสม คือ ใส่ขิง น้ำมะขามเปียก กระเทียมดอง ถั่วลิสง น้ำตาลอ้อย ส่วนแกงฮังเลแบบเชียงแสนนั้นจะมีส่วนผสมที่แตกต่างกัน คือ ถั่วฝักยาว พริก หน่อไม้ดอง งาคั่ว ส่วนประกอบสำคัญของแกงฮังเลแบบเชียงแสนที่ขาดไม่ได้เลยคือผงแกงฮังเลหรือผงมัสล่า ซึ่งเป็นผงเครื่องเทศแบบผสมแบบเดียวกับ การัม มาซาลา ของอินเดีย น้ำพริกแกงจะแตกต่างกันนิดหน่อยคือมี พริกแห้ง เกลือ ข่าแก่ ตะไคร้ กระเทียม หอมแดง สุดท้ายแกงฮังเลแบบไทใหญ่ จะมีน้ำที่ขลุกขลิก และ กินกับมะม่วงสะนาบซึ่งเป็นมะม่วงสับ ยำกับกะปิคั่ว กุ้งแห้งป่น และกระเทียมเจียว

แกงฮังเล

แกงฮังเล มักจะใช้หมูสามชั้นติดมัน หรือ กระดูกซี่โครงหมู เป็นส่วนประกอบหลักในการทำอาหาร ส่วนที่เราจะมานำเสนอวันนี้คือ แกงฮังเลแบบพม่าดั้งเดิม หรือ แกงฮังเลม่าน

ส่วนผสม

  • เนื้อสันคอหมู 300 กรัม (จะเป็นสันนอก หรือจแค่เนื้อหมูสามชั้นอย่างเดียวก็ได้แล้วแต่ความชอบ)
  • เนื้อหมูสามชั้น 200 กรัม
  • น้ำมะขามเปียก 3 ช้อนโต๊ะ
  • ขิงซอย ½ ถ้วย
  • กระเทียม ½ ถ้วย
  • ถั่วลิสงคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ
  • สัปปะรด 2 ช้อนโต๊ะ
  • ผงฮังเล 2 ช้อนโต๊ะ

เครื่องแกง

  • พริกแห้ง 7 เม็ด (หรือถ้าชอบเผ็ดน้อยก็ลดปริมาณพริกลง)
  • พริกขี้หนูแห้ง 4 เม็ด
  • หอมแดง 3 หัว
  • กระเทียม 20 กลีบ
  • ตะไคร้ซอย 2 ช้อนโต๊ะ
  • ข่าซอย 1 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือ 1 ช้อนชา
  • กะปิหยาบ ½ ช้อนโต๊ะ

วิธีทำแกงฮังเล

  1. นำเครื่องแกงที่เตรียมไว้ไปโขลกหรือบดให้ละเอียด
  2. หั่นหมูสันคอและหมูสามชั้นให้พอดีคำ หรือ ขนาด 1.5 x 1.5 นิ้ว แล้วนำมาคลุกเคล้ากับซีอิ้วดำและเครื่องแกงที่เตรียมไว้ เติมสัปปะรดลงไป หมักไว้ 1 ชั่วโมง หรืออย่างน้อย 20 นาทีเพื่อให้เครื่องแกงซึมเข้าเนื้อ
  3. นำหมูที่หมักไว้มาลงหม้อที่ตั้งไฟ ใส่น้ำเล็กน้อย ใช้ไฟกลางเพื่อให้น้ำมันหมูค่อยๆออกมาเสริมรสชาติ พลิกหมูไปมาเพื่อให้สุกทั่วทุกส่วน ผัดให้หมูเริ่มสุกอย่าให้หมูติดหม้อ จากนั้นเติมน้ำลงหม้อให้พอท่วมหมู ใช้ไฟกลางถึงสูง จนน้ำเดือด
  4. หลังจากนั้นปรับไฟเป็นไฟอ่อน ปิดฝาไว้ คอยเติมน้ำให้ท่วมหมูอยู่เสมอไม่งั้นก้นหม้อจะไหม้ เคี่ยวไปเรื่อย ๆ จนหมูนิ่มได้ที่
  5. ใส่ขิงซอย กระเทียม และ ผงแกงฮังเลลงไป ปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียก เกลือ และ น้ำตาลอ้อย ชิมรสดูว่าได้ 3 รส เปรี้ยว เค็ม หวาน รึยัง หลังจากนั้นคนให้เข้ากันแล้วปิดฝา
  6. เคี่ยวต่ออีกนิด พอเดือดสักพักให้ปิดไฟ น้ำแกงฮังเลจะเริ่มแห้งลงและมีความเข้มข้นขึ้นก็เริ่มกินได้
Categories
อาหารคาว

เมนู แกงกะทิ เมนูสามัญประจำบ้านที่ใคร ๆ ก็ทำได้

แกงกะทิ

หากเราพูดถึงอาหารไทยที่ใช้กะทิเป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหารนั้นมีเยอะแยะมากมาย ที่นึกง่ายที่สุดและหาง่ายตามท้องตลาดทั่วไปคงหนีไม่พ้นเมนูอย่าง แกงกะทิ, พะแนง, แกงเขียวหวาน, ฉู่ฉี่, แกงเทโพ, แกงเผ็ด หรือ แกงคั่ว แต่ทั้งหมดแล้วก็คือการพูดรวม ๆ ถึงเมนูอาหารที่ทำจากกะทิทั้งสิ้น หลาย ๆ คนมักคิดว่าการทำอาหารโดยเฉพาะเมนูที่ใช้กะทิแบบนี้นั้นทำยาก แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นเมนูที่ไม่ซับซ้อนและทำง่ายกว่าที่คิด เป็นเมนูสามัญประจำบ้านที่อาทิตย์นึงต้องทำกินสักครั้ง

วิธีทำเมนู แกงกะทิ นั้นไม่ยาก ปรับเปลี่ยนส่วนผสมนั่นนิดนี่หน่อยก็สามารถที่จะเป็นเมนูอีกอย่างที่มีกลิ่นหอมของส่วนผสมที่แตกต่างได้ ยกตัวอย่างส่วนผสมของ “แกงเผ็ด” อาหารไทยที่มีมาอย่างยาวนาน มีส่วนผสมของเครื่องแกง ได้แก่ ตะไคร้ ข่า ผิวมะกรูด หอมแดง กระเทียม กะปิ พริกป่น พริกชี้ฟ้าแห้ง พริกขี้หนูแห้ง ลูกผักชีคั่วป่น ยี่หร่าคั่วป่น นำส่วนผสมทั้งหมดมาตำ หรือ บดจนเป็นเครื่องแกงแล้วก็นำไปรวมกับกะทิให้มีประมาณน้ำแกงพอประมาณ เท่านี้คุณก็จะได้แกงเผ็ดแล้ว หรือถ้าคุณอยากทำ “ฉู่ฉี่” ก็แค่ตัดเอาส่วนผสมอย่าง ลูกผักชีคั่วป่น และ ยี่หร่าคั่วป่น ออก และใส่ รากผักชี แทน ใส่น้ำกะทิให้น้อยลงทำให้มันเข้มข้น ถ้าเป็น “พะแนง” ก็เติมถั่วลิสงคั่วป่น ลงไป ถ้าเป็น “แกงคั่ว” ก็ใช้กุ้งแห้งหรือปลาแห้งป่น ก็จะได้เครื่องแกงของ แกงคั่วแล้ว หรือปรับเปลี่ยนตามเมนูและเนื้อสัตว์ที่จะทำ

วิธีทำ แกงกะทิ

ส่วนแกงกะทิ ที่เราอยากมาแนะนำวันนี้คือเมนู “แกงคั่วหมูย่างใบชะพลู” เป็น แกงกะทิหมูสามชั้น ที่น่ากินมาก ๆ เลยทีเดียว เรามาดูส่วนผสมในการทำ แกงคั่วหมูย่างใบชะพลู กันดีกว่า

  • เนื้อหมูย่าง 250 กรัม ที่หมักด้วยซอสหอยนางรม 1 ช้อนโต๊ะ และ ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ (จะใช้ส่วนที่เป็นสามชั้น หรือ คอหมู ก็ได้แล้วแต่ชอบ)
  • หัวกะทิ 2 ถ้วยตวง
  • พริกแกงคั่ว 3 ช้อนแกง
  • หางกะทิ 2 ถ้วยตวง
  • น้ำตาลมะพร้าว ใส่เพียงเล็กน้อยเท่าหัวนิ้วมือ
  • น้ำปลา ½ ทัพพี
  • ใบชะพลู 15-20 ใบ

วิธีทำแกงคั่วหมูย่างใบชะพลู

  • นำหมูที่หมักจนได้ที่ไปย่างไฟแรง ไม่ต้องย่างจนหมูไหม้ แค่พอให้น้ำในหมูไหลออกมาจนส่งกลิ่นหอม ไม่ต้องกลัวว่าหมูจะไม่สุขเพราะต้องเอาไปแกงต่อ เสร็จแล้วหั่นพอดีคำ
  • ตั้งหม้อ ใส่หัวกะทิลงไป ½ ถ้วยตวง แล้วตามด้วยพริกแกงคั่ว ผัดให้เข้ากันจนแตกมัน เสร็จแล้วก็ใส่หัวกะทิที่เหลืออยู่ลงไปผัดต่อจนหมด พอเดือดแล้วก็ใส่หมูย่างที่ชุ่มไปได้ด้วยน้ำหมู ผัดให้เข้ากันสักพักก็เติมหางกะทิลงไปต่อ
  • ปรุงรสชาติด้วยน้ำปลา น้ำตาลมะพร้าว ค่อย ๆ ปรุงและชิมรสชาติปรับไปตามความชอบ เสร็จแล้วใส่ใบชะพลูแล้วกดให้จมลงไปในแกง คนให้เข้ากัน ทิ้งไว้ให้แกงเดือดสักพักแล้วปิดเตา เท่านี้ก็จะได้ แกงคั่วหมูย่างใบชะพลู แล้ว

แกงคั่วหมูย่างใบชะพลู หรือ แกงกะทิ กินคู่กับข้าวสวยร้อน ๆ อาจจะเสริมด้วย เมนูไข่อย่าง ไข่เจียว ไข่ดาว หรือ ไข่ต้มยางมะตูมไข่แดงเยิ้ม ๆ ราดด้วยน้ำแกงขลุกขลิก หรือจะเอามากินกับขนมจีนก็ได้นะ คล้าย ๆ ขนมจีนแกงคั่วไก่ อร่อยไปอีกแบบเหมือนกัน กินกับผักสดตามแบบที่เราชอบช่วยลดความเผ็ดความเลี่ยนได้ด้วยนะ เห็นไหมแกงกะทิ ทำง่ายนิดเดียว แต่อาจจะใช้เวลาในการทำสักหน่อย แต่ไม่อยากเลยจริงไหม เหมาะเป็นเมนูที่ไว้ทำกินที่บ้านจริง ๆ

Categories
อาหารคาว

น้ำพริกกากหมู

น้ำพริกกากหมู สูตรกากหมูกรอบนาน

น้ำพริกกากหมู

น้ำพริกกากหมู เป็นหนึ่งในน้ำพริกที่อยู่คู่บ้านเรามานาน ด้วยรสชาติเผ็ดร้อน กลมกล่อมไปด้วยเครื่องเทศอย่างกระเทียม หอมแดง ซึ่งเดิมทีน้ำพริกชนิดนี้จะเป็นน้ำพริกข้น ๆ และมีกากหมู แต่พอมาในยุคปัจจุบันน้ำพริกชนิดนี้ได้ปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับความชอบของเหล่าผู้บริโภคมากขึ้น โดยการนำไปทอดให้กรอบ และอัดแน่นไปด้วยความจัดจ้านจนได้ สูตรน้ำพริกกากหมูแซ่บ สะท้านทรวง ที่นิยมกันในตอนนี้ สำหรับ วิธีทำน้ำพริกกากหมูแห้ง อาจจะต้องใช้เวลาพอสมควร แต่หากได้ทำกินเองละก็รับรองว่าฟินเชียวล่ะ


ส่วนประกอบ น้ำพริกกากหมู


1. หนังหมู 1 กิโลกรัม
2. น้ำเปล่า 2 ถ้วยตวง
3. เกลือ 2 ช้อนชา(สำหรับเจียวกากหมู)
4. หอมแดงซอยละเอียด 300 กรัม
5. กระเทียมไทยสับซอยละเอียด 150 กรัม
6. พริกจินดาแห้ง 20 กรัม
7. พริกจินดาแห้งป่น 4 ช้อนโต๊ะ
8. น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ
9. เกลือป่น 1 ช้อนชา (สำหรับปรุง)
10. เกลือป่น 2 ช้อนโต๊ะ (สำหรับล้างหนังหมู)
11. ใบมะกรูด 1 ถ้วยตวง
12. น้ำมะนาว ½ ช้อนชา


วิธีการทำน้ำพริกกากหมู


1. หั่นหนังหมูเป็นชิ้นพอดีคำ ใส่เกลือลงไปคลุกเค้าให้ทั่ว นำไปล้างด้วยน้ำสะอาด เทน้ำออก และทำการล้างอีกครั้งด้วยการใส่น้ำมะนาวลงไป จบด้วยการล้างน้ำสะอาดอีกรอบ ซึ่งการคลุกด้วยเกลือก่อนนำไปล้าง และล้างด้วยน้ำมะนาวเป็น วิธีทำน้ำพริกกากหมูให้กรอบนาน ยิ่งขึ้น
2. เจียวหอม กระเทียม พริกจินดา ด้วยไฟปานกลาง วิธีทำน้ำพริกกากหมู สมุนไพร ให้หอมอร่อยคือ การเพิ่มใบมะกรูด โดยการนำใบมะกรูดไปเจียวให้กรอบ เมื่อทุกอย่างสุกกรอบแล้วให้ตักขึ้นมาสะเด็ดน้ำมัน
3. ตั้งกระทะ เปิดไฟแรง เทหนังหมูลงไป ผัดสักพักให้เติมน้ำเปล่าตาม และผัดต่อไปเรื่อย ๆ จนน้ำเริ่มแห้ง หากหนังหมูมีสีเหลืองเข้ม ให้ปิดเตาแล้วตักพักไว้อย่างน้อย 2 ชั่วโมง พอครบเวลาให้ทำการเจียวกากหมูอีกรอบด้วยไฟแรง จากนี้จะเห็นได้ว่ากากหมูเริ่มฟองตัว และฟูมากขึ้น เป็นอันเสร็จการทอด
4. เทส่วนผสมทั้งหมดลงในกระทะ และใส่เครื่องปรุงที่เตรียมไว้ลงไป ทำการผัด คลุกเคล้าให้ส่วนผสมทุกอย่างเข้ากันดี เพียงเท่านี้ก็สามารถตักเสิร์ฟเคียงคู่กับข้าวสวยร้อน ๆ สักถ้วย


น้ำพริกกากหมูแบบผัดแห้งจะแตกต่างจากวิธีการทำ น้ำพริกกากหมูโบราณ ที่มีส่วนผสมของน้ำมะขามเปียก น้ำตาลมะพร้าว น้ำตาลทราย ซีอิ๊วขาวเข้ามา และยังต้องใช้เวลาในการเคี่ยวอย่างต่ำ 4 ชั่วโมง สำหรับ วิธีเก็บน้ำพริกกากหมูให้กรอบนาน ต้องเก็บใส่กล่องให้มิดชิด หรือกล่องสุญญากาศจะทำให้กรอบนาน และเก็บกินได้ถึง 2 อาทิตย์เลย

Categories
ขนมหวาน

เต้าส่วน

หูยยย! สูตรเต้าส่วนกะทิ หอม หวาน มัน อร่อยสุดปัง จนต้องขอเติม


ใครกำลังลดน้ำหนักอยู่ตอนนี้อาจจะต้องหลบไปก่อน เพราะวันนี้เราจะชวนเพื่อน ๆ ที่ต้องการเติมความหวานให้ร่างกาย มาทำเมนูขนมแสนอร่อยกับเมนู เต้าส่วน สูตรที่นำมาให้ทำกันต้องบอกว่าเป็นสูตรสุดเข้มข้น หวานกำลังดี ถั่วนุ่มละลายในปาก กะทิถูกเคี่ยวจนหอมลอยไปไกลหลายสิบลี่ เป็นเมนูขนมหวานยั่วน้ำลายสุด ๆ แต่ก็เป็นขนมที่ไม่ได้มีแค่ความอร่อย เพราะยังดีมีประโยชน์อีกด้วย ใครอยากรู้ว่าดียังไง มีวิธีทำแบบไหน และมีส่วนผสมอะไรบ้าง ไม่ควรพลาดบอกเลยว่าเด็ดดวง!


เรื่องน่ารู้ของ เต้าส่วน ขนมไทยแท้ หรือไทยเทียม

เต้าส่วน

ก่อนลงมือทำเรามาทำความรู้จักกับขนมหวานที่ขึ้นชื่ออย่างเต้าส่วน และเกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ว่า เต้าส่วน ประวัติความเป็นมาเป็นอย่างไร ต้องบอกว่าขนมถ้วยนี้มาจากประเทศจีนชื่อว่า “โต้ว เสวียน” เป็นขนมที่มีวัตถุดิบหลักคือ ถั่วเขียวต้ม น้ำตาล และใส่แป้งเพื่อความเหนียว แต่ในภายหลังคนไทยได้นำมาประยุกต์โดยการใส่น้ำกะทิลงไป หรือบางสูตรถูกดัดแปลงเป็น strong>เต้าส่วนข้าวโพด เม็ดบัว เผือก และด้วยรสชาติของกะทิกับส่วนผสมอื่น ๆ ที่ตัดกันได้อย่างลง ทำให้เมนูนี้กลายเป็นขนมขวัญใจของคนไทยหลาย ๆ คนนั้นเอง


พร้อมลุย! ลงมือทำเมนูขนมหวานถ้วยโปรด

เต้าส่วน

ส่วนผสมเต้าส่วน


• ถั่วเขียวเลาะเปลือก 1+1/4 ถ้วย
• น้ำเปล่า 3+1/2 ถ้วย
• ใบเตย 5 ใบ
• น้ำตาลทรายขาว 1 ถ้วย
• แป้งมันสำปะหลัง 2 ช้อนโต๊ะ
• แป้งเท้ายายม่อม 2 ช้อนโต๊ะ
• น้ำเปล่า 1 ถ้วย (ใช้ผสมแป้ง)
• หัวกะทิ ½ ถ้วย
• เกลือป่น 2 ช้อนชา

ส่วนผสมเต้าส่วน

วิธีทำเต้าส่วน


• ล้างถั่วเขียวด้วยน้ำสะอาด 3 รอบ จากนั้นนำถั่วแช่น้ำไว้ประมาณ 3 ชั่วโมง หรือจะแช่ค้างคืนก็ได้
• เมื่อถั่วเริ่มบาน บวมน้ำ ให้นำถั่วใส่ผ้าขาวบางแล้วนำไปนึ่งในน้ำเดือด ใช้เวลาประมาณ 25 นาที
• ตั้งหม้อใช้ไฟแรง รอจนน้ำเดือด ใส่น้ำตาล และใบเตยลงไป คนจนน้ำตาลละลาย และเดือดอีกครั้งให้เทแป้งมันที่ผสมน้ำแล้วลงไป
• ใส่ถั่วลงไปในหม้อ คนจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี ปิดไฟ ยกลงจากเตา

วิธีทำเต้าส่วน

วิธีทำเต้าส่วน กะทิกล่อง


• เทกะทิลงในหม้อ เคี่ยวด้วยไฟอ่อน ใส่เกลือ ใบเตย พอเริ่มเดือดให้ยกลงจากเตา
• ตักน้ำกะทิราดหน้าขนม เสร็จขั้นตอน พร้อมรับประทานได้


นี่เราหลงเข้าใจผิดมาตลอดว่าเป็นขนมไทย แต่กลับกลายเป็นว่าคนไทยได้นำมาแปลงสูตรจากขนมของจีน ให้มีความอร่อยในฉบับไทย ๆ ได้อย่างลงตัว หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นขนมไทย-จีนแล้วกันเนอะ ทั้งนี้ ขนม เต้าส่วน ประโยชน์ ไม่ได้มีดีแค่ความอร่อย เพราะถั่วเขียวดีต่อคนที่อยากลดน้ำตาลในเลือด ลดการเกิดโรคหัวใจ แต่ถึงอย่างไร ขนมถ้วยนี้ก็มีน้ำตาลเยอะ เอาเป็นว่าควรทานแต่พอประมาณแล้วกันโน๊ะ

Categories
อาหารคาว

ทอดมันกุ้ง

เคล็ดลับวิธีทำ ทอดมันกุ้ง

ทอดมันกุ้ง

หากใครได้มีโอกาสแวะไปกินข้าวที่ร้านอาหารจะเห็นได้ว่าเมนู ทอดมันกุ้ง อยู่ในเมนูเรดคอมเมนด์ของทุกร้าน อาหาร ยอดนิยมที่หลาย ๆ คนต้องขอสั่งเป็นออร์เดิร์ฟทานเล่น ด้วยรสชาติที่แตกต่างจากทอดมันปลากราย เพราะการทอดแบบชุบเกร็ดขนมปัง ทำให้ได้ความกรอบอร่อยอย่างลงตัว และยังเป็นเมนูร่วมสมัย เรียกได้ว่าคือเมนูโปรดของใครหลาย ๆ คน ส่วนวิธีการทำนั้นง่ายดาย ไม่ยุ่งยาก ทำได้จากที่บ้าน ไม่ต้องไปถึงร้านอาหารก็ได้อิ่มอร่อยกับเมนูนี้


วัตถุดิบในการทำทอดมันกุ้ง


1. กุ้ง 1 กิโลกรัม
2. รากผักชี 2 ราก
3. กระเทียม 4 กลีบ
4. ซอสปรุงรส 2 ช้อนโต๊ะ
5. ซอสหอยนางรม 1 ช้อนโต๊ะ
6. น้ำตาลทราย ½ ช้อนโต๊ะ
7. ไข่ไก่ 1 ฟอง
8. พริกไทย 1 ช้อนชา
9. แป้งข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ
10. เกร็ดขนมปัง 200 กรัม
11. แป้งทอดกรอบ 250 กรัม


ขั้นตอนการทำ ทอดมันกุ้ง


1. ล้างทำความสะอาดกุ้ง ปอกเปลือกและผ่าหลังกุ้งเพื่อนำสิ่งสกปรกออก จากนั้นให้ตำรากผักชี กระเทียม พริกไทยให้เข้ากันดี ให้ตักใส่ถ้วยไว้
2. นำกุ้งที่ล้างเสร็จแล้วมาสับ หรือปั่นให้ละเอียด ขั้นตอนนี้หากใครมีครกสามารถตำได้เลย เพราะการตำจะทำให้เนื้อกุ้งเนียน เหนียว ละเอียด ต่อด้วยการใส่สามเกลอ น้ำตาลทราย ซอสปรุงรส ซอสหอยนางรม และแป้งข้าวโพดลงไป ซึ่งแป้งข้าวโพดจะทำให้เนื้อทอดมันมีความเหนียวนุ่ม หรือหากไม่มีสามารถทำ ทอดมันกุ้งใส่ผงฟู ได้ จะช่วยเรื่องความเหนียวนุ่มเช่นกัน และยังทำให้ทอดมันขึ้นฟูอีกด้วย
3. จากนั้นทำการนวดส่วนผสมให้เข้ากันประมาณ 10 นาที สังเกตว่าถ้ายกมือขึ้นแล้วไม่มีส่วนผสมติดมือ หรือเนื้อเริ่มตั้งยอดเป็นอันใช้ได้
4. วิธีทำทอดมันกุ้งโดนัท หรือวิธีปั้นให้เป็นทรงโดนัท เริ่มจากการปั้นเป็นก้อนกลม ๆ แล้วไปคลุกกับแป้งทอดกรอบ ตามด้วยการชุบไข่ และคลุกกับเกร็ดขนมปังอีกที สุดท้ายให้ใช้นิ้วโป้งกดลงไปตรงกลางให้เป็นรู เท่านี้ก็จะได้ทอดมันทรงโดนัท
5. ตั้งกระทะใส่น้ำมันให้ท่วม รอจนน้ำมันร้อน ให้ใส่ตัวทอดมันที่ปั้นแล้วลงไป ทอดจนกว่าจะสุก มีสีเหลืองกรอบน่ารับประทาน ตักขึ้นเพื่อสะเด็ดน้ำมัน เป็นอันเสร็จ วิธีทำทอดมันกุ้ง ง่าย ๆ


ทั้งนี้หากใครไม่ชอบทอดมันกุ้ง แบบเดิม ๆ อยากใส่ผักใบเขียวลงไปแนะนำให้ลองทำ ทอดมันกุ้งใบเล็บครุฑ ถือว่าเป็นผักที่มีประโยชน์ และยังนิยมนำมาเป็นส่วนผสมของทอดมันอีกด้วย แต่ไม่ว่าจะเป็นสูตรไหนเมนูอย่าง ทอดมันกุ้งอร่อย จนเป็นของกินยอดฮิตทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ต่างติดใจ

Categories
อาหารคาว

หมูทอดกะปิ

หมูทอดกะปิ กรอบนอกนุ่มใน หอมสมุนไพร

หมูทอดกะปิ

กะปิ เครื่องปรุงรสที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในสมัยโบราณ ไม่ว่าจะนำมาทำน้ำพริก ทำเมนูผัด เมนูต้ม หรือน้ำจิ้ม ถือว่าเป็นเครื่องปรุงที่ทำให้อาหารมีรสชาติอร่อย กลมกล่อมมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นกะปิยังสามารถนำมาเป็นส่วนผสมที่ใช้ทำเมนูทอดได้เช่นกัน อย่างหมูทอดกะปิ กับสูตร หมูทอดกะปิ ครัวคุณต๋อย เป็นสูตรทำกินเองได้จากที่บ้าน หรือจะทำขายก็ขายดิบขายดี สำหรับขั้นตอนการทำนั้นไม่ได้ยุ่งอยากอะไร เพียงแค่เตรียมวัตถุดิบไม่กี่อย่าง อุปกรณ์ไม่กี่ชิ้นก็สามารถทำเมนูอร่อย ๆ นี้ได้


วัตถุดิบหมูทอดกะปิ


1. เนื้อหมูสามชั้นลอกหนังหั่นพอดีคำ 5 กิโลกรัม
2. น้ำมันพืชสำหรับทอด 3 ขวด
3. กะปิแท้ 3 ขีด
4. น้ำตาลมะพร้าว 3 ขีด
5. น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
6. ซอสหอยนางรม 3 ช้อนโต๊ะ
7. พริกแห้ง ตามชอบ
8. ใบมะกรูด ตามชอบ


วิธีการทำ หมูทอดกะปิ


1. ผสมกะปิ น้ำตาลมะพร้าว น้ำปลา ซอสหอยนางรมให้เข้ากันในอ่างผสมอาหาร คนจนส่วนผสมทุกอย่างละลาย ซึ่งบางสูตรอาจจะเลือกใช้น้ำตาลปี๊บ แต่การเลือกใช้น้ำตาลมะพร้าวจะทำให้ หมูกะปิหวาน อ่อน ๆ ไม่หวานโดด และไม่กลบความเค็มของกะปิ
2. ต่อจากนั้นให้นำเนื้อหมูสามชั้นเทลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน หาถุงหรือพลาสติกแรปมาปิดไว้ นำแช่ตู้เย็นหนึ่งคืน สำหรับใครที่ไม่กินหมูอยากเปลี่ยนเป็น ไก่ทอดกะปิ ก็ได้เช่นกัน โดยใช้ส่วนสะโพกไก่ หรือน่องไก่ และเพิ่มวัตถุดิบแป้งทอด เพื่อใช้สำหรับคลุกเคล้าเนื้อไก่ก่อนนำลงไปทอด
3. ตั้งกระทะใส่น้ำมัน เปิดไฟปานกลาง พอน้ำมันร้อนให้เทพริกแห้ง และใบมะกรูดลงทอด หากดูกรอบแล้วให้ตักพักสะเด็ดน้ำมัน จากนั้นนำหมูสามชั้นที่หมักไว้ลงทอดต่อโดยไม่ต้องเปลี่ยนน้ำมัน ทอดให้สุกประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ ตักออกพักไว้ก่อน
4. เคล็ดลับการทำ หมูกะปิ วิธีทำ ให้เนื้อหมูสามชั้นกรอบนอกนุ่มใน ทำได้โดยนำหมูที่ทอดจากรอบแรกลงไปทอดซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำมันใหม่ และต้องใช้ไฟแรง ทอดจนสุกดี มีสีน้ำตาลเข้ม ให้ตักขึ้นพักสะเด็ดน้ำมัน เป็นอันเสร็จขั้นตอน สามารถจัดเสิร์ฟโดยการโรยพริกทอด และใบมะกรูดทอดเพื่อความหอมและน่ากิน


หมูทอดกะปิให้รสชาติที่อร่อยไม่แพ้การทอดหมูด้วยสูตรอื่น ๆ เลย ใครที่ไม่ชอบเมนูทอดสามารถทำเป็น เมนูผัดกะปิ อย่าง หมูผัดกะปิ พริกสด แทนได้ ทั้งนี้ในการเลือกเนื้อหมู และกะปินั้นสำคัญมาก ๆ หากอยากได้เนื้อหมูส่วนที่อร่อย นุ่ม นิ่ม ควรใช้เนื้อหมูสามชั้นส่วนราวนม หรือสันคอ ไม่ว่าจะทอด หรือผัดเนื้อหมูจะออกมาฉ่ำ อร่อย และกะปิก็ควรเลือกกะปิแท้ ที่มีสีแดงออกม่วง เนื้อละเอียด เนียนสวย

Categories
อาหารคาว

กุ้งอบวุ้นเส้น

กุ้งอบวุ้นเส้น ทำง่ายได้รสชาติเหมือนภัตตาคาร

กุ้งอบวุ้นเส้น

กุ้งอบวุ้นเส้น เมนูอาหารไทยได้รับอิทธิพลมาจากประเทศจีน ยิ่งถ้าใครเคยไปแถวเยาวราชจะต้องเจอร้านดังที่มีเมนูนี้ขาย แต่ถึงอย่างไรอาหารจานนี้ก็สามารถทำกินเองได้ง่าย ๆ ทั้งยังมีเคล็ดลับที่อยากนำมาบอกต่อด้วยว่า กุ้งอบวุ้นเส้นใช้วุ้นเส้นอะไร กุ้งอบวุ้นเส้นใส่อะไรบ้าง ถ้าเรื่องของวุ้นเส้นแนะนำว่าควรเลือกวุ้นเส้นแห้งทำมาจากถั่วเขียวแท้จะทำให้เส้นนุ่ม เหนียว ยืดและอร่อยมาก สำหรับเมนูนี้ใส่อะไรบ้าง แน่นอนว่าต้องมีกุ้งสด แต่สำหรับส่วนผสมอื่น ๆ และขั้นตอนการทำ สามารถเลื่อนลงไปดูพร้อม ๆ กันเลย


ส่วนผสม กุ้งอบวุ้นเส้น


1. กุ้งขาวสด 5 ตัว
2. หมูสามชั้น 200 กรัม
3. วุ้นเส้น 1 ห่อ
4. น้ำมันงา 1 ช้อนชา
5. น้ำตาลปี๊บ ½ ช้อนโต๊ะ
6. ซีอิ๊วดำ ½ ช้อนชา
7. ซอสหอยนางรม 1 ช้อนโต๊ะ
8. ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
9. น้ำเปล่า 1 ถ้วย
10. ขิงแก่หั่นแว่น 5 แว่น
11. กระเทียม 3 กลีบ
12. พริกไทยป่น ½ ช้อนชา
13. พริกไทยดำ 1 ช้อนชา
14. ขึ้นฉ่าย 2 ต้น
15. ต้นหอม 2 ต้น


ขั้นตอนการทำกุ้งอบวุ้นเส้น


1. ล้างทำความสะอาดกุ้งโดยการผ่าหลัง ตัดหนวดกุ้งออก แต่เก็บหัวกุ้งไว้ ต่อด้วยการนำวุ้นเส้นไปแช่ในน้ำทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที
2. หั่นหมูสามชั้นให้มีขนาดพอดีคำโดยการลอกหนังแข็ง ๆ ออก สำหรับคนที่ทำ กุ้งอบวุ้นเส้น ไม่ใส่มันหมู สามารถใส่น้ำมันหรือเบคอนแทนได้
3. โคลกสามเกลอ เริ่มที่รากผักชี พริกไทยดำ กระเทียม ตำให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วยไว้ก่อน
4. ผสมซอสหอยนางรม ซีอิ๊วขาว น้ำตาลปี๊บ เข้าด้วยกัน แล้วนำส่วนผสมที่ได้ไปราดลงบนวุ้นเส้นที่สะเด็ดน้ำ ทำการคลุกเคล้าให้น้ำซอสกระจายทั่ว ๆ วุ้นเส้น
5. ใครที่ไม่มีหม้อดิน หรือหม้ออบ สามารทำ กุ้งอบวุ้นเส้นในกระทะ หรือ กุ้งอบวุ้นเส้นหม้อหุงข้าว ได้ โดยทำการตั้งกระทะเปิดไฟกลาง เริ่มใส่หมูสามชั้น ขิง สามเกลอ น้ำมันงา ผัดจนหมูสุกเล็กน้อย ตามด้วยวุ้นเส้น กุ้ง แล้วปิดฝาไว้ สำหรับคนที่ใช้หม้อหุงข้าว ยังไม่ต้องเปิดไฟให้จัดเรียงส่วนผสมก่อน แล้วค่อยเปิดไฟปกติเหมือนตอนหุงข้าว ทั้งสองวิธีจะใช้เวลาประมาณ 15 นาที หรือจนกว่าซอสจะแห้ง ให้ปิดไฟ ตักใส่จาน พร้อมตกแต่งโรยหน้าด้วยต้นหอม ขึ้นฉ่าย และพริกไทยป่น


จุดเด่นของกุ้งอบวุ้นเส้น จะอยู่ที่น้ำซอสปรุงรส ถ้าหากอยากเพิ่มรสชาติให้ลงตัวมากขึ้น สามารถใส่เหล้าจีนได้ 1 ช้อนชา วิธีทำกุ้งอบวุ้นเส้น ง่ายๆ สามารถทำได้โดยไม่ต้องมีหม้อดินเหมือน กุ้งอบวุ้นเส้นโบราณ ใช้กระทะ หรือหม้อหุงข้าวก็ยังอร่อยเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือความสะดวกสบายในการทำนั้นเอง

Categories
ขนมหวาน

วุ้นกะทิใบเตย

วุ้นกะทิใบเตย กลิ่นหอมละมุนชวนทำชวนทาน

วุ้นกะทิใบเตย

เวลาไปเดินตลาดหากคุณมองทางร้านขนมไทยซักเจ้า แล้วเหลือบไปเห็นโซนขายวุ้นกะทิสด หรือวุ้นกะทิโบราณ เดาได้เลยว่า ต้องมีบางวันที่คุณเห็นคนขายเขาทำ วุ้นกะทิใบเตย ตัววุ้นเป็นสีเขียวใสตัดกับตัววุ้นชั้นบนสีขาวนวลเนียนน่ารับประทาน เป็นอันต้องตัดใจไม่ลง และซื้อกลับมาบ้านอย่างแน่นอน เพราะทั้งสีสัน ทั้งกลิ่นใบเตยที่เข้ากันกับกลิ่นกะทิหอมหวานมัน มันช่างเข้ากันเสียเหลือเกิน แต่ก็นะ ช่วงโควิดแบบนี้ การซื้อของมาทำกินเองก็อาจจะทำให้หลาย ๆ คนอุ่นใจกว่า วันนี้เราเลยอยากมาชวนทุกคนทำ วุ้นกะทิใบเตย ทำเอง ทานเองที่บ้านกันไปเลย


อย่างที่อธิบายไปแล้วว่าเจ้าวุ้นกะทิใบเตย แบ่งส่วนประกอบเป็นสองชั้นก็คือชั้นของวุ้นกะทิสด และชั้นของวุ้นใบเตย อธิบายวิธีทำง่าย ๆ ก็คือทำวุ้นแยกกันก่อนสองส่วน แล้วก็เทลงอุปกรณ์สำคัญอย่าง ถาดสี่เหลี่ยม ที่จะได้ฟีลเหมือนกับที่แม่ค้าพ่อค้าขนมหวานขายตามตลาดกลายเป็นวุ้นกะทิใส่ถาดแล้วก็ตัดแบ่งเป็นทรงสี่เหลี่ยม นอกจากจะได้ฟีลแล้ว เป็นอุปกรณ์ที่หาง่ายไม่ต้องลำบากไปซื้อพิมพ์หรือถ้วยพลาสติกด้วย เริ่มมาดูส่วนผสมและวิธีทำวุ้นใบเตยหน้ากะทิสดกันเลยดีกว่า


ส่วนผสมของวุ้นใบเตยที่อยู่ชั้นล่าง


1. ใบเตยสด 10-12 ใบ
2. น้ำสะอาด 550 มิลลิลิตร
3. น้ำตาลทรายขาว 95 กรัม
4. ผงวุ้น 5 กรัม


ส่วนผสมของวุ้นกะทิที่อยู่ชั้นบน


1. กะทิ 200 กรัม (จะใช้กะทิสด หรือกะทิสำเร็จรูปได้ตามความสะดวก)
2. น้ำสะอาด 200 มิลลิลิตร
3. น้ำตาลทราย 95 กรัม
4. ผงวุ้น 5 กรัม
5. เกลือ 1/2 ช้อนชา


วิธีทำวุ้นกะทิใบเตยใส่ถาด มีขั้นตอนการทำ ดังนี้


ขั้นตอนที่ 1 เริ่มทำตัววุ้นใบเตยก่อน เริ่มจากทำน้ำใบเตย โดยการหั่นใบเตยสดเป็นชิ้น แล้วแบ่งลงไปตำในครกให้ละเอียด หรือใครไม่มีครกก็สามารถใช้เครื่องปั่นได้ปั่นให้ละเอียดพร้อมกับน้ำเปล่าบางส่วน จากนั้นก็กรองน้ำใบเตยออกมาทิ้งกากไป วิธีนี้เป็นวิธีที่ที่จะทำวุ้นใบเตยไม่ให้เหม็นเขียว และสีสันออกมาสวยงาม จากนั้น


ขั้นตอนที่ 2 นำน้ำใบเตยที่คั้นแล้ว และน้ำสะอาดใส่หม้อขึ้นตั้งไฟ แล้วจึงใส่ผงวุ้น คนให้เข้ากันแล้ว เมื่อผงวุ้นละลายหมดจึงใส่น้ำตาลทรายแล้วคนจนน้ำตาลละลายจนหมด พยายามช้อนฟองให้หมด แล้วทิ้งไว้ให้เย็นลง


ขั้นตอนที่ 3 ระหว่างที่รอวุ้นใบเตยเย็นลง ให้เริ่มตั้งหม้อเตรียมทำวุ้นกะทิ โดยใส่กะทิ และน้ำเปล่า ลงไปก่อน ตามด้วยผงวุ้น คนจนผงวุ้นละลายหมด แล้วจึงใส่น้ำตาลทรายและเกลือลงไป คนจนละลาย พยายามใช้ไฟอ่อนถึงปานกลาง จากนั้นทิ้งไว้ให้เย็น


ขั้นตอนที่ 4 หลังจากที่ทำตัววุ้นกะทิเสร็จ วุ้นใบเตยก็เย็นตัวลงประมาณหนึ่งให้เทใส่ถาด แล้วรอให้วุ้นใบเตยเซตตัว จึงเทวุ้นกะทิที่เย็นลงลงบนวุ้นใบเตย ที่เหลือก็นำเข้าตู้เย็นอีกวันก็เตรียม


อ่านวิธีทำวุ้นกะทิใบเตยใส่ถาดกันไปเพลินแล้วรู้สึกอยากจะวิ่งไปเข้าครัวเตรียมทำขนมกันบ้างเลยใช่ไหมละ ใครที่อยากลองเริ่มทำเมนูขนมง่าย ๆ ทานเอง แบบอยากฝึกสกิลการชั่ง ตวง วัดก่อน เมนูวุ้นกะทิใบเตย เมนูนี้ถือว่าใช้ทดสอบเบื้องต้นได้ก่อนด้วยนะ อ๋อ แอบแถมอีกนิดหากใครอยากเปลี่ยนสีจากสีเขียวเป็นสีฟ้าจะนำอัญชันมาต้มเอาสีแทนใบเตย แล้วทำเป็นวุ้นกะทิอัญชันก็ได้เช่นกันนะ