Categories
น้ำ

น้ำตะไคร้

น้ำตะไคร้เครื่องดื่มสมุนไพรไทยในตำนาน ทำกินง่าย ได้ประโยชน์เพียบ

น้ำตะไคร้

       ตะไคร้ เป็นพืชสมุนไพรไทยล้มลุกที่มีคุณประโยชน์ครบครัน ทั้งช่วยขับลม บรรเทาอาการจุกเสียดแน่นท้อง แก้ร้อนใน ทั้งยังช่วยขับเสมหะและบรรเทาอาการหวัดได้อีกด้วย เพราะในตะไคร้ อุดมไปด้วยคุณค่าสารอาหารหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น โปรตีน เส้นใย วิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส และคุณค่าทางอาหารมากที่สุด คือ วิตามินเอ คุณสมบัติครบครันประโยชน์มากมีขนาดนี้ ก็ไม่แปลกใจที่คนไทยจึงนิยมนำเจ้าตะไคร้ใบเรียวยาวมาเป็นเครื่องปรุงในเมนูอาหารโดยเฉพาะ น้ำตะไคร้ ที่ช่วยแก้ร้อนใน ดับกระหายได้เป็นอย่างดี

วิธีทำเครื่องดื่มสมุนไพรเพื่อสุขภาพ น้ำตะไคร้

สำหรับช่วงนี้ ประเทศไทยมีสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย ยิ่งเริ่มเข้าช่วงหน้าฝนหรือหน้าหนาวอาจเป็นไข้หวัดเอาได้ง่าย และยิ่งสถานการณ์โควิด-19 กำลังระบาดยิ่งต้องมองหา เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ไว้ดูแลตัวเองกันหน่อย น้ำตะไคร้เป็นอีกหนึ่งเมนูที่อยากแนะนำ ทำง่าย ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก แถมได้สุขภาพดี จิบวันละนิดให้ชื่นใจ แก้กษัย ดับกระหายได้เป็นอย่างดี ไม่ต้องไปพึ่งยาที่ไหน บอกเลยว่าสมุนไพรไทยนี่สุดมหัศจรรย์ ให้ธรรมชาติช่วยบำบัดคุณกันนะคะ ไปดูวิธีทำ สูตรน้ำตะไคร้ กันเลย

ส่วนผสม มีดังนี้

  1. ตะไคร้ 3 ต้น
  2. น้ำตาล 100 กรัม
  3. น้ำเปล่า 1 ลิตร

ขั้นตอนการทำ มีดังนี้

  1. นำตะไคร้ไปล้างให้สะอาด จากนั้นนำมาทุบ
  2. นำหม้อต้มมาใส่น้ำเปล่าแล้วใส่ตะไคร้ตามลงไป ต้มจนเดือดและน้ำเปลี่ยนสี
  3. นำน้ำไปกรอกเอากากออก จากนั้นนำมาต้มในหม้อต้มอีกครั้งพร้อมใส่น้ำตาลตามลงไปตามชอบ ใช้ไฟกลาง คนจนน้ำตาลละลาย
  4. ยกหม้อออกจากเตา ตั้งพักไว้ให้เย็น พร้อมดื่ม

วิธีทำน้ำตะไคร้ใบเตย เพิ่มกลิ่นหอมชื่นใจ แบบง่าย ๆ ทำเองได้ที่บ้าน

วิธีทำน้ำตะไคร้ใบเตย

ส่วนผสม มีดังนี้

  1. ตะไคร้ 3 ต้น
  2. ใบเตยหั่นเป็นชิ้น 5 ใบ
  3. น้ำเปล่า 1 ลิตร
  4. น้ำตาล 100 กรัม
  5. น้ำมะนาว ใส่ตามชอบ
  6. น้ำแข็ง ใส่ตามชอบ

ขั้นตอนการทำ มีดังนี้

  1. นำตะไคร้ที่เตรียมไว้ไปล้างน้ำจนสะอาด
  2. หลังจากนั้นนำตะไคร้มาทุบ
  3. นำหม้อมาใส่น้ำเปล่าที่เตรียมไว้ 1 ลิตร แล้วจึงนำใบเตยที่หั่นไว้เป็นชิ้นเล็ก ๆ และตะไคร้ที่ทุบแล้วใส่ลงไปในหม้อ
  4. ต้มทิ้งไว้จนน้ำเดือด และเปลี่ยนเป็นสีเขียวใบเตย
  5. นำน้ำตะไคร้ใบเตยที่ต้มเสร็จจนเดือดไปกรองเพื่อเอากากออก
  6. เทน้ำตะไคร้ใบเตยใส่ในหม้ออีกครั้ง พร้อมทั้งใส่น้ำตาลตามไป ใช้ไฟกลาง เสร็จแล้วคนจนเข้ากันให้น้ำตาลละลายจึงยกออกจากเตามาพักไว้จนอยู่ในอุณหภูมิห้อง จากนั้นก็ตักน้ำแข็งใส่แก้วตามชอบ พร้อมดื่ม เพียงเท่านี้ก็จะได้ น้ำตะไคร้ใบเตย หอม ๆ ไว้ทานยามว่างกันแล้วนะคะ

น้ำตะไคร้ สรรพคุณ และ คุณประโยชน์ 10 ประการ ดังนี้

  1. ช่วยปรับสมดุลการทำงานของระบบปัสสาวะให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
  2. ช่วยบรรเทาอาการหวัด
  3. แก้อาการกษัย
  4. ช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด แน่นท้อง
  5. ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง พร้อมทั้งบำรุงสมอง
  6. มีฤทธิ์ในการช่วยให้นอนหลับสบาย
  7. ช่วยเสริมสร้างระบบไหลเวียนเลือดให้ไหลเวียนได้ดี
  8. ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
  9. ช่วยขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ
  10. ช่วยให้เจริญอาหาร

           ตะไคร้ ถือเป็นพืชสมุนไพรในตำนานที่อยู่ในวิถีชีวิตคนไทยมาอย่างช้านาน ด้วยกลิ่นที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ทั้งมีสรรพคุณและประโยชน์นานับประการ ไม่ว่าจะนำไปปรุงอาหาร ทำเครื่องดื่ม อย่างเช่น เมนูน้ำตะไคร้ ใบเตย ที่ทำกินง่าย ทำได้ที่บ้าน ประโยชน์ของน้ำตะไคร้ ก็มีมากมาย  ทั้งเป็นยารักษาโรค หรือในปัจจุบันก็เป็นที่นิยมในอุตสาหกรรมเครื่องหอมไทย ไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สินค้าโอทอปต่าง ๆ สร้างรายได้ให้กับคนในท้องถิ่นอีกด้วย

Categories
น้ำ

น้ำขิง

น้ำขิงเครื่องดื่มสมุนไพรต้านโควิด 19

น้ำขิง

น้ำขิง นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสมุนไพรชั้นดี ที่สามารถช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย พร้อมยังช่วยให้สุขภาพภายใน สามารถเจริญอาหารได้มากยิ่งขึ้น เพราะภายใน ขิง ยังอุดมไปด้วย สารอาหาร ที่มีคุณค่าต่อร่างกายเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น โปรตีน, ไขมัน, คาร์โบไฮเดรต, แคลเซียม หรือว่า วิตามินเอ และด้วยคุณสมบัติที่หลากหลายนี้เอง จึงมักจะมีผู้คนชอบนำ ขิง มาประกอบร่วมกับการทำอาหาร หรือทานคู่กับอาหาร โดยเฉพาะกับน้ำขิง ที่กลายมาเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรยอดนิยม เพราะด้วยรสชาติอันแสนเผ็ดร้อน และประโยชน์ที่สามารถช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย จึงจัดได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเครื่องดื่มสมุนไพร ที่สามารถช่วยต้านโควิด 19 ได้ด้วย เช่นกัน

น้ำขิง น้ำผึ่ง

วิธีการทำเครื่องดื่ม น้ำขิง แบบง่าย ๆ

ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 เช่นนี้ หลาย ๆ คน คงกำลังมองหาตัวช่วยใน การดูแลสุขภาพ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งตัวเลือกที่ดีที่สุด ที่เราหยิบมาแนะนำกันในวันนี้ นั่นก็คือ ขิง ที่เสมือนเป็นอีกหนึ่งสมุนไพรชั้นดี ที่น่าสนใจ และยังสามารถนำมาทำเป็นเมนู เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ที่คนรักสุขภาพ ไม่ควรพลาดอย่างเด็ดขาด และวิธีในการทำน้ำขิง แบบง่าย ๆ จะสามารถเริ่มต้นทำได้อย่างไรบ้าง ถ้าพร้อมแล้ว เราไปศึกษากันเลยดีกว่า

ส่วนผสมที่ต้องเตรียม มีดังนี้

  1. ขิงแก่                    1 กิโลกรัม
  2. น้ำตาลทรายแดง       1 ถ้วยตวง
  3. น้ำสะอาด               3 ลิตร

ขั้นตอนการทำ มีดังนี้

  1. นำขิงสดมาปอกเปลือกออก จากนั้นล้างน้ำให้สะอาด 1 – 2 น้ำ แล้วทุบให้พอแหลก
  2. ใส่น้ำสะอาดลงในหม้อขนาดพอเหมาะ ตั้งน้ำให้เดือด ใส่ขิงที่ทุบแล้วลงไป ต้มประมาณ 15 – 20 นาที เคี่ยวให้น้ำขิงออกมา
  3. เสร็จแล้วกรองเอากากออก เติมน้ำตาล ชิมรสตามต้องการ
  4. ตักน้ำขิงใส่แก้ว พร้อมเสิร์ฟ สามารถดื่มได้ทันที
  5. สำหรับใครที่อยากดื่มแบบเย็น ๆ แค่เติมน้ำแข็งลงไปสักหน่อย ก็จะได้น้ำขิงที่อร่อยและสดชื่นแล้วล่ะ

วิธีการทำเครื่องดื่มน้ำขิง สูตรมะตูม

สำหรับเครื่องดื่ม น้ำขิงสูตรมะตูม นับได้ว่าเป็น เครื่องดื่มสมุนไพร อีกสูตรหนึ่ง ที่สามารถช่วยในเรื่องของระบบการไหลเวียนเลือด บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ได้ดี และยังช่วยลดอาการหวัดได้ดีอีกด้วย นั่นจึงทำให้เครื่องดื่มน้ำขิง สูตรมะตูม จึงมีความพิเศษที่มากขึ้น เพราะมีส่วนผสมจาก มะตูม อีกหนึ่งสมุนไพรชั้นดี ที่สามารถนำมาผสมเข้ากันได้อย่างลงตัว

ส่วนผสมที่ต้องเตรียม มีดังนี้

  1. ขิงแก่                              2 ถ้วยตวง
  2. มะตูมแห้ง                         10 แว่น
  3. น้ำเปล่า                           2 ลิตร
  4. น้ำตาลทรายไม่ขัดสี               (ตามชอบ)

ขั้นตอนการทำ มีดังนี้

  1. นำขิงมาปอกเปลือกและล้างทำความสะอาด แล้วฝานเป็นแว่น
  2. นำมะตูมแห้งมาล้างทำความสะอาด
  3. ต้มน้ำให้เดือดจากนั้นใส่ขิงและมะตูมลงไป
  4. ต้มต่อจนน้ำเดือดอีกครั้ง ปรับไปเป็นไฟกลางค่อนอ่อน ต้มต่ออีก 20 นาที และใส่น้ำตาลได้ตามชอบ
  5. ปิดเตายกหม้อลงมาคลายร้อน และกรองเอาแต่น้ำ พร้อมดื่ม

น้ำขิง สรรพคุณ ประโยชน์ 10 ข้อ

  1. ขิงเป็นยาอายุวัฒนะชั้นยอด
  2. มีส่วนช่วยในการป้องกัน ต่อต้านการเกิดโรคมะเร็ง ต่อต้านการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
  3. ช่วยลดความอ้วน ลดระดับไขมันคอเลสเตอรอล ด้วยการดูดซึมคอเลสเตอรอลจากลำไส้ แล้วปล่อยให้ร่างกายกำจัดออกทางอุจจาระ
  4. ช่วยแก้หวัด บรรเทาอาการไอ บรรเทาหวัดขับเสมหะ
  5. ช่วยรักษาอาการปวดศีรษะและไมเกรน
  6. มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระเป็นจำนวนมาก ช่วยชะลอความแก่และชะลอการเกิดริ้วรอย
  7. ช่วยรักษาโรคความดันโลหิต
  8. ช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรง
  9. ช่วยรักษาอาการปวดในช่วงก่อนหรือหลังประจำเดือน
  10. ใช้แก้อาการคอแห้ง เจ็บคอ

          ขิง นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสมุนไพรชั้นดี ที่อยู่คู่กับครัวคนไทยมาอย่างช้านาน และยังเป็นยาสามัญประจำบ้าน ที่แทบทุก ๆ บ้านจะต้องมี หรือหากไม่มี ก็สามารถที่จะหาได้ไม่ยากนัก และเมนู น้ำขิง ที่เราได้หยิบมานำเสนอกัน ในวันนี้ ก็ยังเป็นเมนูง่าย ๆ ทำง่าย และดื่มง่าย แต่ ประโยชน์ของน้ำขิง ก็นับว่ามีอยู่อย่างมากเลยทีเดียว และยิ่งในช่วงสถานการณ์โควิด 19 แบบนี้ ก็ต้องขอแนะนำให้ควรหามาดื่มเป็นประจำทุก ๆ วัน เลยยิ่งดี เพราะจะสามารถช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายได้

Categories
ขนมหวาน

วุ้นแมงลัก

วุ้นแมงลัก เมนูขนมง่าย ๆ ทำได้เองแถมราคาประหยัด

วุ้นแมงลัก

เราคือหนึ่งในคนที่ต้องมีขนมหวานติดบ้าน โดยเฉพาะพวกขนมที่แช่เย็นไว้ได้ พอเอาออกมาทานตอนอากาศร้อน ๆ หรือตอนหัวร้อน ๆ มันช่วยเยียวยาให้ชุ่มฉ่ำแล้วเย็นลงได้ มีใครเป็นเหมือนเราบ้างเอ่ย ? เอาเป็นว่าที่กล่าวมาก็คือ เรานั้นสูญเสียเงินไปกับการตุนขนมในตู้เย็นไปหลายบาท คราวนี้เราเลยคิดว่าจะมาชวนทุกคนทำเมนูขนมง่าย ๆ ใช้วัตถุดิบไม่ต้องเยอะ ราคาประหยัด ทำเก็บไว้ในตู้เย็นไว้ทานเล่น เมนูนั้นก็คือ วุ้นแมงลัก นั่นเอง เชื่อว่าทุกคนนึกภาพออกมาอย่างแน่นอน ภาพวุ้นแมงลักน้ำแดงในถ้วยพลาสติกเล็ก ๆ นั่นแหละใช่เลยที่เราจะชวนทุกคนมาทำ แอบบอกก่อนว่านี่ถือเป็นวิธีทำวุ้นแมงลักที่แบบสะดวกง่าย เหมาะกับมือใหม่อยากทำขนมทานเองมาก ๆ  

                วันนี้สูตรวุ้นแมงลักที่เราหามาลองทำจะเป็นส่วนผสมและวิธีทำวุ้นน้ำแดงเฮลบลูบอยใส่เม็ดแมงลัก เป็นวิธีทำวุ้นง่าย ๆ ไม่ต้องยุ่งยากมีไม่กี่ขั้นตอนแค่ต้มเม็ดแมงลัก ทำตัววุ้นน้ำแดง ตักใส่พิมพ์ แช่เย็นวุ้นข้ามคืนเพียงเท่านี้ก็มีวุ้นแมงลัก อร่อย ๆ หวานเย็นชื่นใจไว้รับประทานแล้ว มาดูส่วนผสมและวิธีทำวุ้นแมงลักกันเลยดีกว่า

ส่วนผสมวุ้นน้ำแดงแมงลัก

  1. น้ำเปล่า                          1,000 มิลลิลิตร
  2. น้ำตาลทราย                  80 กรัม (สามารถเพิ่มลดได้ตามระดับความหวานที่ชอบ)
  3. น้ำหวานเฮลบลูบอย      8 ช้อนโต๊ะ
  4. ผงวุ้น                               1 ช้อนโต๊ะ
  5. เม็ดแมงลัก                     1 ช้อนโต๊ะ
  6. น้ำเปล่า                          800 มิลลิลิตร สำหรับแช่เม็ดแมงลัก
  7. ถาด แม่พิมพ์ซิลิโคน หรือจะเป็นถ้วยพลาสติกไว้ใส่วุ้น

วิธีทำวุ้นแมงลัก

ขั้นตอนที่ 1 แช่เม็ดแมงลักแห้งลงในน้ำเปล่าทิ้งไว้ประมาณ​ 15-20 นาที สังเกตให้เม็ดแมงลักมันพองตัว

ขั้นตอนที่ 2 ระหว่างที่รอเม็ดแมงลักพองตัว เตรียมวุ้นรอ เริ่มจากเทน้ำเปล่าลงหม้อแล้วนำไปตั้งไฟ พอน้ำเริ่มจะเดือดให้ค่อย ๆ โปรยผงวุ้นลงหม้อ หรือทำให้น้ำวนตลอดป้องกันไม่ให้ผงวุ้นจับเป็นก้อน เมื่อผงวุ้นกระจายทั่วปิดไฟ ยกลงจากเตารอให้ผงวุ้นอิ่มตัวซักพัก สังเกตว่าผงวุ้นจะยังไม่ได้ละลายนะ

ขั้นตอนที่ 3 ระหว่างรอผงวุ้นอิ่มตัว เม็ดแมงลักให้นำเม็ดแมงลักที่พองตัวแล้ว ตักมาแต่เนื้อ ๆ หยอดลงพิมพ์ตามปริมาณที่ต้องการ

ขั้นตอนที่ 4 นำน้ำวุ้นไปตั้งไฟกลาง ๆ ต่อ  จนกว่าผงวุ้นละลายหมด แล้วจึงเติมน้ำตาลทราย พยายามคนตลอดเวลา แล้วจึงใส่น้ำแดงลงไป ขั้นตอนนี้สามารถตักชิมรสชาติเพื่อปรับความหวานตามที่ต้องการได้ เมื่อได้ความหวานที่พอใจให้ปิดไฟ พักให้เย็นลงซักครู่ แล้วจึงเทใส่พิมพ์ และสุดท้ายรอเวลาให้วุ้นเซตตัวประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนน้ำไปแช่ตู้เย็นให้ได้วุ้นที่กรอบเย็นชื่นใจ

                หวังว่าใครที่กำลังมองหาเมนูขนมง่าย  ๆ ทำไว้ทานเล่นที่บ้านจะลองทำเจ้าวุ้นแมงลักสูตรนี้ตามกันดูนะ หรือว่าจริง ๆ แล้วหากใครอยากแอดวานซ์หรือเพิ่มกลิ่นและรสชาติ จะลองปรับจากแค่วุ้นแมงลักน้ำแดง เป็นวุ้นแมงลักน้ำเขียว วุ้นแมงลักสีฟ้า วุ้นแมงลักสีชมพู โดยคราวนี้อาจจะไม่ได้ใช้เป็นสีจากน้ำหวานเฮลบลูบอย แต่ลองแต่งด้วยสีผสมอาหารอื่น ๆ แทน หรือจะลองเพิ่มเลเยอร์ของวุ้นแมงลักจากเลเยอร์เดียวเป็นสองเลเยอร์ด้วยการเทวุ้นแมงลักไปครึ่งพิมพ์ก่อน แล้วราดด้วยวุ้นกะทิตามข้างบนอีกชั้น กลายเป็นวุ้นแมงลักกะทิ ก็อร่อยไปอีกแบบ

Categories
ขนมหวาน

ขนมทองหยิบ

วิธีทำขนมทองหยิบ ขนมมงคลทำง่าย รสชาติระดับชาววัง

นึกถึงงานมงคลทีไร ต้องนึกถึงขนมสีเหลืองทอง ฉ่ำ ๆ หวาน ๆ รูปดอกไม้อย่างขนมที่ชื่อว่า ขนมทองหยิบ ทุกที เป็นขนมหวานที่เดินทางไกลมาจากประเทศโปรตุเกส มีตำนานความอร่อยหลายร้อยปี ด้วยรสชาติหวานสะใจ ชุ่มคอ กินแล้วบอกได้คำเดียวว่าสดชื่น วันนี้เลยอดไม่ได้ที่จะปล่อยให้เมนูนี้ผ่านไป ต้องขอหยิบสูตรมาทำกันบ้างแล้ว ใครมีพื้นที่น้อยไม่ต้องแคร์ เพราะทำง่าย ใช้เวลานิดเดียว อุปกรณ์ไม่เยอะ เอาล่ะหลับตาขอสวมร่างแม่ศรีเรือนแพร็บ หนึ่ง สอง สาม…พร้อมลงมือทำโล้ดดด!

เปิดครัว ชวนทำ ขนมทองหยิบ หวาน ฉ่ำ อร่อยล้ำสุด ๆ

ขนมทองหยิบ

“ท้าวทองกีบม้า” ผู้คิดค้นขนมทองหยิบที่อยู่คู่บ้านเรามานาน เป็นขนมทองหยิบ โบราณต้องใช้ความประณีต และเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในวังสมัยอยุธยา ทั้งยังมีความหมายสื่อถึงความร่ำรวย เงินทอง จึงเป็นขนมมงคลที่ใช้ในการขึ้นบ้านใหม่ หรืองานแต่งนั้นเอง

ขนมทองหยิบ

วัตถุดิบทองหยิบ ชาววัง

  1. ไข่เป็ด 6 ฟอง 
  2. ไข่ไก่ 6 ฟอง 
  3. น้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม 
  4. น้ำเปล่า 1 ลิตร 
  5. กลิ่นมะลิ 1/2 ช้อนชา 

อุปกรณ์การทำทองหยิบ

  1. ถ้วยตะไล หรือถ้วยทรงสูงขนาดเล็ก
  2. ไม้แหลมเพื่อใช้จับจีบ 2 ไม้
  3. ผ้าขาวบาง
  4. ตะกร้อมือ

วิธีทำทองหยิบ

  1. ทำการแยกไข่แดง ไข่ขาว โดยนำไข่แดงวางในผ้าขาวบางที่เตรียมไว้
  2. ตีไข่แดงให้แตกเพียงเล็กน้อย แล้วทำการรีดไข่แดงผ่านผ้าขาวบาง
  3. ใช้ตะกร้อมือตีไข่แดงให้ฟู เนียน แล้วพักไว้ก่อน
  4. ต้มน้ำให้เดือด เทน้ำตาลลงไป เมื่อน้ำตาลละลาย ให้ปิดไฟ ขั้นตอนนี้เป็นการทำน้ำเชื่อม สำหรับการหล่อตัวขนมหลังจากการทอด ต้องพักให้เย็นก่อนนำมาใช้
  5. ทำน้ำเชื่อมอีกรอบสำหรับการทอดตัวทองหยิบ เมื่อน้ำตาลละลายและเริ่มเดือด ให้หยอดไข่แดงลงไป พร้อมลดไฟอ่อน ๆ รอจนสีเริ่มเหลืองเนียนสุกดีทั้งสองด้าน ให้ตักใส่ในน้ำเชื่อมสำหรับการพักตัวทองหยิบแช่ไว้ 10 นาที
  6. ทำการจัดจีบตัวทองหยิบ สามารถจัด 4 หรือ 5 จีบตามใจชอบ แล้วนำมาใส่ในถ้วยตะไล หากไม่เป็นทรงสามารถใช้ไม้แหลมช่วยจัดทรงได้ ทำจนครบ เพียงเท่านี้ก็พร้อมเสิร์ฟได้เลย
ขนมทองหยิบ

ข้อสงสัยที่หลายคนยังไม่กระจ่างว่าขนมฝอยทอง ทองหยิบ ทองหยอด ต่างกันยังไง สรุปได้ว่าขนมทั้ง 3 ชนิดนี้ มีวัตถุดิบหลักเหมือนกันคือ ไข่แดง และน้ำตาล ซึ่งรสชาติของขนมจะมีความหวาน มัน แตกต่างกันออกไปเพียงเล็กน้อย รวมทั้งความชุ่มฉ่ำของเนื้อสัมผัส และรูปทรงที่ต่างกันเท่านั้น

พอได้รู้วิธีทำขนมทองหยิบก็ต้องร้องกรี๊ดกันเลย เพราะง่ายม๊าก ๆ อุปกรณ์ไม่เยอะ ใช้พื้นที่น้อย ไม่ต้องเหนื่อยล้างของ ปังปุริเย่ไปอีก ไม่ว่าจะเป็นทองหยิบทองหยอดฝอยทอง งานนี้ต้องออกมาโชว์ฝีมือปลายจวักกันซะแล้ว ทั้งอร่อย ความหมายดีงาม เป็นขนมมงคลของไทยแท้ ต่อให้กินแล้วน้ำหนักขึ้นก็ไม่แคร์ละงานนี้!

Categories
ขนมหวาน

ทับทิมกรอบ

เข้าครัวชวนทำทับทิมกรอบกรุบกรอบ หนุบหนับ เคี้ยวเพลิน

ในช่วงหลัง ๆ มานี้ เพื่อน ๆ หลายคนทำงานจากที่บ้านเลยมีเวลาเข้าครัวทำอาหาร ทำขนม หรือเบเกอรี่กันอยู่บ่อย ๆ บางคนทำแล้วรู้สึกติดใจถึงขั้นทำขายเลยก็มี แต่ถ้าหากเป็นขนมไทยเชื่อว่าหลายคนไม่นิยมทำกินเอง เพราะด้วยขั้นตอนยุ่งยาก ทั้งยังหาซื้อได้ง่ายในราคาไม่แพง ดังนั้นบทความของหวานบทนี้เลยต้องขอชวนเข้าครัว เปิดประสบการณ์ทำขนมหวานสุดฮิต ทำง่ายกับเมนู ทับทิมกรอบ ใส่น้ำกะทิ น้ำแข็ง โรยด้วยขนุน คลายร้อนได้เป็นอย่างดี และคอนเฟิร์มเลยว่าวิธีการทำง่ายม๊ากกก จะง่ายขนาดไหนต้องตามมาดู๊

บอกต่อต้นตำรับความอร่อยสูตร ทับทิมกรอบ

ทับทิมกรอบ

ทับทิมกรอบ เดิมทีเป็นแค่ขนมของชาวบ้าน แต่ได้ถูกปรับสูตรใหม่จนเป็นขนมที่ถูกนำทูลถวายพระกระยาหารให้สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงมาแล้ว และแน่นอนว่าวันนี้เราต้องหยิบยกการทำทับทิมกรอบสูตรโบราณแท้ ๆ วิธีการทำง่ายดาย แถมความอร่อยระดับชาววังไปเลย

ส่วนประกอบ

  1. แห้ว 50 กรัม
  2. สีผสมอาหาร สีแดง 1 ช้อนชา
  3. แป้งมันสำปะหลัง ½ ถ้วย
  4. กะทิ 250 มิลลิตร
  5. ใบเตย 2 ใบ
  6. เกลือ ¼ ช้อนชา
  7. น้ำตาลมะพร้าว ½ ถ้วย
  8. ขนุนซอย มะพร้าวอ่อนตามใจชอบ

วิธีทำทับทิมกรอบ

วิธีทำทับทิมกรอบ
  1. นำแห้วไปต้มจนสุก เมื่อสุกแล้วให้นำมาหั่นเป็นลูกเต๋า
  2. จากนั้นนำแห้วที่หั่นแล้วไปคลุกเคล้ากับสีผสมอาหารสีแดง แช่ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที
  3. เทแป้งมันลงบนถาด หรือถ้วย ตามด้วยแห้วแล้วใช้ช้อนเกลี่ยให้แป้งมันเคลือบแห้ว จากนั้นนำไปร่อนเพื่อให้แป้งส่วนเกินออกไป
  4. ตั้งหม้อต้มน้ำให้เดือด เทแห้วลงไป ให้สังเกตว่าถ้าแห้วลอยขึ้นมา และสีแดงใสแสดงว่าสุกแล้ว ให้รีบตักไปน็อคในน้ำเย็น
  5. ตั้งกะทิด้วยไฟอ่อน ใส่ใบเตย ปรุงด้วยน้ำตาล เกลือ เคี่ยวจนส่วนผสมละลาย เททับทิมใส่ลงไป พร้อมปิดไฟ
  6. ตักเสิร์ฟ โรยหน้าด้วยมะพร้าวอ่อน หรือขนุนตามใจชอบ
วิธีทำทับทิมกรอบ

ทริควิธีเก็บทับทิมกรอบค้างคืน:ใครที่กินไม่หมดไม่ต้องห่วง เพราะสามารถนำทับทิมที่ต้มแล้วใส่โหล หรือกล่อง พร้อมหล่อไว้ด้วยน้ำเชื่อม จากนั้นแช่ไว้ในตู้เย็นเท่านี้ก็สามารถเก็บไว้กินได้หลายวันเชียวล่ะ

ตอบคำถามคลายสงสัย

หลังจากที่รู้ส่วนผสม และวิธีการทำทับทิมกรอบไปแล้ว หลายคนเจอปัญหา เพราะหาแห้วไม่ได้ และสงสัยว่าทับทิมกรอบทำจากอะไรได้บ้าง แน่นอนว่านอกจากแห้วแล้ว เพื่อน ๆ ยังสามารถทำทับทิมกรอบมันแกวได้เช่นกัน เพราะจะมีรสชาติ และความกรอบที่ใกล้เคียงกันเลย ปัญหายังไม่หมด เกิดไม่มีแป้งมันขึ้นมา แล้วทับทิมกรอบใช้แป้งอะไรได้บ้าง เพื่อน ๆ สามารถใช้แป้งข้าวโพดแทนได้ เพราะเทกเจอร์เดียวกัน และคงรูปมากกว่าแป้งมันอีกด้วย เอาเป็นว่าใครที่สะดวกแบบไหน มีวัตถุแบบไหนลงมือทำกันได้ เชื่อว่าต้องอร่อยถูกปากกันอย่างแน่นอน